Review : ViVO V11 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอและสเปคครบครันในราคาหมื่นต้น !!
Review : ViVO V11 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
และสเปคครบครันในราคาหมื่นต้น !!
สวัสดีเพื่อนๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆกับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ ViVO กับ ViVO V11 รอบนี้ก็ถือว่าเป็นซีรีส์ V ตัวใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและสเปคระดับเรือธงของค่ายกันเลยทีเดียว แต่ราคาค่าตัวของรุ่นนี้ต้องบอกเลยว่าเปิดมาได้น่าสนใจเพียงแค่หมื่นต้นๆเท่านั้น เอาล่ะ ! พูดมาขนาดนี้แล้วจะรออะไรอยู่ มาเริ่มอ่านรีวิวของรุ่นนี้ไปพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ :D
แกะกล่อง ViVO V11
เริ่มต้นด้วยการแกะกล่องกันก่อนเลย ViVO V11 มาพร้อมกล่องทรงมาตรฐานของ ViVO ด้านหน้ามีภาพประกอบพร้อมระบุชื่อรุ่นชัดเจน และฟีเจอร์เด่น In-Display Fingerprint Scanning
เช็คอุปกรณ์ภายในกันเลยดีกว่าอย่าให้เสียเวลา โดยอุปกรณ์ภายในกล่องให้มาครบพร้อมใช้งานเหมือนเคย หลักๆแล้วก็มีอยู่ 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง ViVO V11
- เคสซิลิโคนใส
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟ
- สาย Micro-USB
- หูฟัง
ก็เรียกว่าพร้อมใช้จริงๆครับ เปิดเครื่องมาใส่ซิมใส่เคสใช้งานได้เลย ส่วนเรื่องฟิล์มกันรอยก็มีติดมาให้ตั้งแต่เปิดกล่องเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องหน้าจอเป็นรอยเนาะ :D
ดีไซน์ใหม่ สวย บางเฉียบกว่าเคย
เช็คของกันครบแล้วก็มาดูกันที่ตัวเครื่องกันต่อเลย ViVO V11 มาพร้อมกับดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่ที่มีการปรับให้ลงตัวมากขึ้น เริ่มกันที่ตัวหน้าจอด้านหน้าจะเห็นว่าในการแสดงผลต่างๆนั้นทำได้เต็มกว่ารุ่นก่อนด้วยการปรับเปลี่ยนตัวติ่งบนหน้าจอให้เล็กลงมาเหลือแค่จุดเดียวด้านบนเท่านั้น ตรงนี้ทาง ViVO ใช้ชื่อเรียกว่า Halo FullView Display นั่นเองครับกับหน้าจอแบบใหม่นี้
โดยตัวติ่งบนหน้าจอด้านบนนั้นก็เว้นไว้เฉพาะกล้องหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล ส่วนลำโพงสนทนาถูกเลื่อนขึ้นไปด้านบนสุดเพื่อให้ขอบหน้าจอด้านบนเหลือเพียงเล็กนิดเดียวเท่านั้นครับ แต่ถ้าสังเกตดีๆตัวติ่งของ ViVO นั้นจะไม่ยืดลงมาไม่สุดขอบแถบแจ้งเตือนด้านบนซะทีเดียวมีแอบเหลือไว้นิดหน่อยเหมือนตอน X21 นั่นล่ะครับ
ตัวหน้าจอของรุ่นนี้ก็เลยมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วย ViVO V11 มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.41 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ใช้ชนิดหน้าจอเป็น Super Amoled แน่นอนว่าในเรื่องของการแสดงผลนั้นทำออกมาได้ดีมาก สีสันสดและมิติมุมมองสวยคมพอสมควร อัตราส่วนหน้าจอมีความยาวขึ้นตามเทรนด์ ViVO เลือกใช้แบบ 19.5:9 เพื่อให้การแสดงผลเวลาแนวนอนนั้นกว้างขึ้นไปอีก
ตัวขอบหน้าจอด้านล่างจะเห็นว่ามีความบางเฉียบลงไปมาก เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่องทั้งหมด เพราะด้วยการที่ใช้พื้นที่หน้าจอกับตัวเครื่องไปถึง 91.27% ส่วนที่หนาที่สุดของหน้าจอนี้เลยมาตกอยู่ตรงขอบล่างนี้แทน แต่ถ้ามองโดยรวมต้องบอกว่าไม่ได้หนาอะไรเลย
ตัวเครื่องยังคงมีขนาดที่ใหญ่กำลังดีถึงแม้ตัวหน้าจอจะใหญ่มากๆขนาดนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ลดติ่งบนหน้าจอและเพิ่มการแสดงผลให้มากขึ้นได้ ในขณะที่ตัวเครื่องนั้นยังเท่าเดิม ทำให้เรายังสามารถจับถือใช้งานได้อย่างไม่ฝืนเกินไปนัก
บอดี้ของรุ่นนี้มีความบางเฉียบดีมากด้วยความบางเพียง 7.9 มม.เท่านั้น ตัวกรอบของตัวเครื่องใช้วัสดุเป็น Polycarbonate ขัดมัน มีขอบโค้งเล็กๆแต่แอบแหลมเวลาจับถือจริงๆนิดหน่อย
ปุ่มกดจะอยู่ที่ด้านขวามือของตัวเครื่องทั้งหมดแบ่งเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power
ช่องใส่ถาดซิมจะอยู่ที่มุมซ้ายของตัวเครื่องโดยถาดซิมที่ให้มาจะเป็นแบบ 3 Slot สามารถใส่ได้ทั้งรูปแบบ 2 ซิมและ Micro-SD ได้พร้อมกัน
พอร์ตการเชื่อมต่อของรุ่นนี้ยังเป็นแบบ Micro-USB อยู่ พร้อมทั้งช่องหูฟัง 3.5 มม.ก็ยังมีอยู่ด้วยนะให้มาครบ ตรงด้านล่างนี้จะมีไมโครโฟนและลำโพงหลักของตัวเครื่องอยู่ด้วย
ส่วนด้านบนตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวนแค่อย่างเดียวเรียบๆ
ฝาหลังของตัวเครื่องจะมีความโค้งแบบหลังเต่านิดๆ แต่รอบนี้พิเศษกว่าเดิมด้วยการทำสีแบบไล่เฉดมากขึ้น โดยสีที่เราได้มารีวิวนี้เป็นสี Starry Night โดยสีสันได้แรงบันดาลใจมาจาก สีของท้องฟ้ายามค่ำคืน โดยสีจะไล่ลงมาจากสีดำลงมาถึงสีน้ำเงินด้านล่าง
หรือบางมุมถ้าวางสะท้อนแสงดีๆก็จะกลายเป็นสีม่วงไปได้ด้วย เรียกว่าทำสีออกมาได้สวยดีทีเดียวครับ
สีสันของตัวเครื่องที่เป็นโทนเข้มๆจะตัดกับสีทองที่กรอบตัวเครื่องและโลโก้ของ ViVO ที่อยู่ด้านหลังได้เป็นอย่างดีทีเดียว กรอบตัวเครื่องจะวางเป็นแนวตั้งแบบเดียวกับรุ่นก่อนๆที่ผ่านมา
พลิกให้ดูรอบตัวเครื่องเรียบร้อยแล้ว แต่ไหงไม่เห็นที่สแกนลายนิ้วมือเลยล่ะ ฮั่นแน่ ! รุ่นนี้เขาซ่อนตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ที่ใต้หน้าจอเรียบร้อยนะจ๊ะ ! เอ…ตรงหน้ากล่องก็บอกแต่แรกแล้วนี่หน่า :P ใช่ครับรุ่นนี้มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือที่ใต้หน้าจอ ถ้าใช้งานทั่วๆไป ก็จะไม่เห็นมีอะไรผิดปกติสักเท่าไหร่ แต่เมื่อตั้งค่าเรียบร้อยเมื่อเราล็อคหน้าจอตัวสัญลักษณ์ลายนิ้วมือจะลอยเด่นขึ้นมาแบบนี้แหละครับ ส่วนการใช้งานเดี๋ยวไว้จะอธิบายเพิ่มเติมอีกทีในหมวดการใช้งานเนอะ เพราะรอบนี้ทำได้มากกว่าแค่การแตะสแกนแบบทั่วๆไปด้วยแหละ :P
รวมๆในเรื่องของดีไซน์ ViVO V11 ทำออกมาได้ดีทีเดียว ทั้งในเรื่องของหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแต่ขอบหน้าจอนั้นบางเฉียบลง ติ่งลดลง ตัวเครื่องไล่เฉดสีได้สวยมากขึ้น สำหรับสีสันของ ViVO V11 นี้จะวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ Starry Night รุ่นที่เราได้มานี้กับ Nebula โดยทั้ง 2 สีจะมีความแตกต่างกันเป็นโทนมืดและโทนสว่าง
สเปค ViVO V11
- หน้าจอ Super Amoled ขนาด 6.41 ความละเอียด FHD+ (อัตราส่วน 19.5:9)
- ซีพียู Snapdragon 660 AIE Octa-core 2.2GHz
- จีพียู Adreno 512
- แรม 6GB
- ความจุ 128GB
- รองรับ Micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 3400 mAh
- รองรับระบบชาร์จไว Dual-Engine Fast Charge
- กล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลังคู่ 12 + 5 ล้านพิกเซล f/1.8 + f/2.4
- รองรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ
- รองรับสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม (ถาดซิมแบบ 3 Slot)
- รัน Android 8.1 Oreo ครอบด้วย FunTouch OS 4.5
- ขนาดตัวเครื่อง 157.91 x 75.08 x 7.9 มม.
- น้ำหนัก 156 กรัม
- ราคา 13,999 บาท
ในส่วนของสเปคบอกเลยว่าให้มาแรงสมใจดีจริงๆ เพราะทั้งหน่วยประมวลผล แรม หรือความจุ เรียกว่าจัดมาให้ระดับเรือธงเลยล่ะ โดยหน่วยประมวลผลของรุ่นนี้ถือว่าเขยิบขึ้นมาจากรุ่นก่อน (V9) พอประมาณ โดยจะใช้เป็น Snapdragon 660 AIE, แรมให้มามากถึง 6GB และความจุภายใน 128GB อีกต่างหาก เรียกว่าอัดแน่นมามากๆเลยสำหรับซีรีส์ V นี้
เร็วแรงนี่คะแนนแค่ไหน !?
เห็นบอกว่าสเปคภายในนั้นให้มาสูงมากๆเลย ซึ่งเมื่อเรานำมาทดสอบคะแนนกับแอป AnTuTu Benchmark คะแนนที่ได้ก็ออกมาที่ 129388 คะแนน สูงใช้ได้เลยล่ะ
FunTouch OS ตัวใหม่ใช้งาน Gesture ได้ดีขึ้น
ในเรื่องของระบบปฏิบัติการ ViVO V11 จะมาพร้อมกับ Android 8.1 Oreo ที่มีการครอบทับมาด้วย FunTouch OS 4.5 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่มีการปรับแต่งหน้าตาต่างๆให้ดูน่าใช้มากยิ่งขึ้น
ชุด Wallpaper หรือไอคอนก็มีการปรับแต่งให้ดูเนียนกลืนไปกับตัวเครื่องมากขึ้น ไม่ดูโดดเกินไปเท่าไหร่ รูปแบบการทำงานของ Home Screen ยังคงรวมกันไว้ที่หน้าแรกนี้ทั้งหมด จะลงแอปหรือแอปที่มีติดมาในเครื่องจะมาโผล่ที่หน้านี้ เราสามารถจับรวมกันไว้ได้เพียงแค่แบบโฟลเดอร์เท่านั้นครับ
หรือถ้าไม่ชอบแบบที่มีๆมาให้แบบค่าเริ่มต้น เราสามารถเลือกดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้อีกจากแอป i Theme ได้เลยครับ มีให้เลือกดาวน์โหลดมาใช้เพิ่มเติมอีกเพียบ
สำหรับ UI การใช้งานพวกแถบการแจ้งเตือนและ Toggle Switch ยังแยกออกจากกันเหมือนเดิมคือการลากแถบจากด้านบนลงมาเป็นการแจ้งเตือนล้วนๆ ส่วนถ้าจะเข้าทางลัดพวกเปิด-ปิด Wi-Fi หรืออื่นๆก็ใช้การเลื่อนหน้าจอขึ้นจากด้านล่างแทนครับ
แต่...ถึงในหน้า Toggle Switch จะมีพวกแอปที่ใช้ล่าสุด (Recent App)อยู่แล้ว แต่หน้า Recent App แบบที่โชว์พรีวิวใหญ่ๆก็มีเหมือนเดิมครับ
ในส่วนของปุ่มกดหรือ Navigation Keys ด้านล่างทาง ViVO จะมีทางเลือกให้เปลี่ยน 3 แบบ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบแบบที่ตั้งเป็นค่าเริ่มต้นเท่าไหร่ แอบดูโบราณไปหน่อย ถ้าเลือกสลับมาเป็นแบบ Pure Android หรืออีกแบบก็จะดูดีขึ้นหน่อย หรือถ้าอยากจะสลับปุ่มซ้าย-ขวากันก็ทำได้เช่นกัน
(เลือกรูปแบบของ Navigation Keys ได้ที่ Settings > System Navigation > Navigation Keys ครับ)
แต่ถ้าไม่ชอบใจแบบไหนๆเลย อยากแค่เลื่อน, ปัด, รูดอะไรทำนองนี้แทน ก็มีตัวเลือกให้เลือกเช่นกัน โดยกดมาที่ Navigation Gestures ได้เลย ซึ่งรูปแบบการทำงานจะแบ่งออกให้เราเลือกเป็นปัดนิ้วขึ้นจากมุมซ้ายเพื่อย้อนกลับ, ปัดนิ้วขึ้นจากมุมขวาเพื่อเรียกหน้า Toggle Switch และปัดนิ้วขึ้นจากตรงกลางเป็นการกลับสู่หน้าโฮม เป็นต้น
(เลือกรูปแบบของ Navigation Keys ได้ที่ Settings > System Navigation > Navigation Gestures ครับ)
สแกนนิ้วใต้จอ ดูไฮโซ !
มาเข้าถึงเรื่องจุดขายหลักของรุ่นนี้อย่างระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ซึ่งถือว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 2 ของ ViVO ในบ้านเราที่มีมาให้ (ต่อจาก X21) ซึ่งรูปแบบการใช้งานยังคล้ายเดิมครับคือเมื่อเราตั้งค่าไว้เรียบร้อย เวลาล็อคหน้าจอจะมีไอคอนรูปลายนิ้วมือลอยๆขึ้นมาที่หน้าจอดำๆนี่แหละ ให้เราแตะสแกนเพื่อปลดล็อคได้เลย
(ตั้งค่าระบบสแกนลายนิ้วมือได้ที่ Settings > Fingerprint, Face and Password > Fingerprint)
รูปแบบการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอนี้ยังคงต้องใช้เวลานานกว่าเซ็นเซอร์แบบปกติอยู่ครู่หนึ่ง จากปกติเราอาจจะแตะสแกนได้ในความเร็วราวๆ 0.2 - 0.5 วินาที แต่เมื่อมาเป็นระบบสแกนใต้จอแบบนี้การแตะเพื่อให้ระบบตรวจสอบลายนิ้วมือจะใช้เวลานานกว่าเป็นราวๆ 1 วินาทีได้ ซึ่งตรงนี้อาจจะดูไม่เร็วทันใจนัก แต่ตำแหน่งที่ได้มาก็ช่วยให้เราคุ้นชินกับการวางนิ้วได้ดีกว่าตำแหน่งหลังเครื่องอยู่เนาะ
ระบบสแกนหน้าก็เร็ว !
ถ้าระบบสแกนนิ้วอาจจะดูช้าเกินไปสำหรับการใช้งานเวลาเร่งด่วน ก็มีระบบสแกนใบหน้าที่เร็วมากๆมาให้ใช้งานด้วยเช่นกัน หลังจากที่ตั้งค่าระบบสแกนหน้าเรียบร้อย เพียงแค่กดปุ่ม Power เพื่อปลุกจอตัวหน้าจอก็ปลดล็อคขึ้นมาให้ทันทีแบบที่เรายังไม่ทันรู้สึกเลยว่ามีการสแกนหน้าผ่านไปแล้ว
(ตั้งค่าระบบสแกนลายนิ้วมือได้ที่ Settings > Fingerprint, Face and Password > Face)
อยากให้เร็วกว่านั้นก็ใช้ควบคู่กันไปเลย !
ถ้าระบบสแกนนิ้วแอบดูช้าเกินไปหน่อย ระบบสแกนหน้าก็ดูปุบปับเกินไปทาง ViVO ก็มีทางเลือกในการเพิ่มการทำงานร่วมกันของระบบสแกนลายนิ้วมือและสแกนใบหน้าควบคู่กันเพื่อเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยเข้าไปอีก เพราะเมื่อเราแตะสแกนที่ปุ่มสแกนนิ้วตัวระบบจะใช้กล้องหน้าสแกนใบหน้าเราไปพร้อมกันช่วยให้ไม่ต้องวิเคราะห์ตัวลายนิ้วมือนานเพราะใช้หน้าสแกนไปด้วย แบบนี้ดูง่ายและใช้งานได้ 2 ชั้นเลยล่ะ ทีนี้เราก็ได้สแกนนิ้วเท่ๆพร้อมความเร็วระบบสายฟ้าแล่บแล้ววว !
(ตั้งค่าระบบสแกนลายนิ้วมือได้ที่ Settings > Fingerprint, Face and Password > Fingerprint and face Unlock)
Always On Display มีไหม ?
มี ! ตอบก่อนเลย สำหรับโหมด Always On Display ด้วยความที่หน้าจอเป็นแบบ Super Amoled ทำให้การเปิดหน้าจอดำสนิทนั้นสนิทดีจริงๆ การจะเพิ่มตัวนาฬิกาขึ้นมาก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก แถมถ้าเราเปิด AOD ไว้ตัวไอคอนสแกนนิ้วก็จะโผล่ขึ้นมาตลอดเช่นกันครับ
(ตั้งค่า Always On Display ได้ที่ Settings > Lock Screen, Home Screen, And Wallpaper > Always On Display ครับ)
บันเทิงจัดเต็มแก้ปัญหาเรื่องติ่งให้แล้ว !
มาเข้าเรื่องความบันเทิงทั้งหารดูหนังหรือฟังเพลงกันต่อ สำหรับ V11 นั้นให้หน้าจอ Halo FullView Display มาทำใ้ตัวติ่งบนหน้าจอนั้นหดเล็กลงการทำงานโดยรวมไม่มีปัญหา ไม่มีการรบกวนสายตาในการทำงานแนวตั้งเป็นปกติสุขมากๆ ส่วนการทำงานแนวนอนที่หลายคนกลัวว่าเมื่อมีติ่งมา ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ยังมีผลกับบางอย่างอยู่ทาง ViVO ยังตัดปัญหาติ่งด้วยการเพิ่มแถบดำเข้ามาเสริมสำหรับการทำงานแนวนอนแบบเต็มหน้าจอซะเลย
อย่างเช่นเวลาเราดูหนังดูวิดีโอผ่าน YouTube ตัวแถบที่เหลืออยู่จะมีการถมดำเข้ามาเต็มด้านบนเพื่อปิดความเหลือที่ไม่มีติ่งออกไปทีนี้เวลาเราจะดูหนังหรือเล่นเกมตัวหน้าจอก็จะไม่เจอติ่งมาบังแล้วล่ะครับ ถือว่าแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว แต่ถ้าแอปไหนที่ลองเปิดแล้วไม่เต็มจอเราก็สามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้นะครับ
(ตั้งค่าได้ที่ Settings > Display and Brightness > Third-Party App Display Ratio)
เช่นเดียวกับบางแอปที่มักจะมีปัญหาอย่าง Instagram เพราะหน้าจอแบบนี้เวลาดู IG Story มักจะแสดงผลเต็มจอจนล้นขึ้นไปที่ตัวติ่งไปซะทั้งหมด ถ้าติ่งเยอะนี่มีปัญหาแน่ เพราะเนื้อหาบางส่วนจะต้องหายไป แต่บนติ่งเล็กๆแบบนี้ทาง ViVO ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจใช้การเพิ่มแถบดำเข้ามาเช่นเดียวกันครับ แบบนี้ก็ดูคอนเทนต์ได้เต็มๆเหมือนปกติแล้ว
ส่วนเรื่องระบบเสียง ViVO ขึ้นชื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว บนรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบเสียง DeepField Sound Effect ที่ช่วยจัดการในเรื่องของมิติเสียงให้ดียิ่งขึ้น ทั้งแบบ Surround, เน้น Bass หรือจะเน้นไปที่เสียงร้องก็ได้เช่นกัน เสียงผ่านหูฟังทำได้ดีทีเดียว มิติเสียงค่อนข้างชัดเจนและมีมิติ ส่วนเสียงผ่านลำโพงแอบเสียงดายที่ได้ลำโพงมาเพียงตัวเดียว ไม่ใช่แบบ Stereo
เล่นเกมเลยดีกว่ารอนานแล้ว !
หลายคนคงสนใจในเรื่องสเปคของรุ่นนี้ด้วยว่าเหมาะกับการเล่นเกมสักแค่ไหน อย่างที่บอกไปครับรุ่นนี้เขยิบมาใช้หน่วยประมวลผลรุ่นกลางที่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Snapdragon 660 AIE เร็วแรง ได้แรมมามากถึง 6GB เกมไม่ดีดไม่เด้งง่ายๆแน่นอน นอกจากนี้ ViVO ยังมีผู้ช่วย Jovi และ Game Mode ที่จะมาช่วยจัดการกับเรื่องการแจ้งเตือนต่างๆให้ด้วยเผื่อเล่นเกมแล้วมีคนโทรมาตัวระบบก็จะไม่ตัดนะจ๊ะ คุยไปพร้อมเล่นเกมไปก็ได้อยู่
เล่น PUBG บน V11 เริ่มกันด้วยเกมฮิตอย่าง PUBG กันก่อน ในเรื่องสเปครุ่นนี้สามารถปรับได้ในระดับสูงสุดอยู่แล้ว แต่ค่าเริ่มต้นรุ่นนี้ปรับมาให้ที่ระดับกลาง (Medium) แต่เมื่อทดสอบเล่นในระดับสูงสุดไปเลย (HD + High) ตัวเกมก็ยังรันได้ดีทีเดียว ถือว่าทำได้ลื่นๆ ถึงแม้จะไม่สามารถปรับคุณภาพไปได้ถึง Ultra แบบรุ่นเรือธงก็เถอะ แค่นี้ก็ถือว่าแจ่มมากแล้วครับ
เล่น ROV บน V11 ต่อกันด้วย ROV รุ่นนี้ก็ปรับคุณภาพกราฟิกได้สูงสุดเช่นกันพวกเฟรมเรตสูงก็เปิดได้ครบหมด ตัวเกมสามารถรันได้ที่ราวๆ 52 - 57fps อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก ทำให้เล่นได้อย่างลื่นไหลไม่เจออาการกระตุกแบบเสียอาการเนอะ
กล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล สวยเนียนมีเอฟเฟกต์
มาเข้าสู่เรื่องกล้องหน้าที่เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ ViVO ซึ่งรุ่นนี้อาจจะดูให้ความละเอียดมาเยอะสะใจถึง 25 ล้านพิกเซล มาพร้อมความสามารถครบ ทั้งระบบ AI Beauty หรือละลายฉากหลัง
หรือถ้า AI Face Beauty ยังไม่ถูกใจนัก เราก็สามารถเข้าไปปรับรูปแบบโครงหน้าได้เองเลยด้วยระบบ AI 3D Face Shaping ทีนี้จะอยากได้คางเรียว, หน้าผอม, ตาโต, ผิวเนียน ก็ปรับได้ตามใจเลยครับ ออกมาเนียนแน่นอน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด AI Face Beauty
แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือรอบนี้มีระบบ Selfie Lighting หรือโหมดละลายหลังแบบที่มีเอฟเฟกต์เข้าไปได้ด้วย โดยตัวเอฟเฟกต์แสงที่มีให้เลือกจะมี 5 แบบคือ Studio Light, Stereo Light, Loop Light, Rainbow Light และ Monochrome Background
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด AI Face Beauty พร้อม Selfie Lighting
กล้องหลังคู่มี AI Scene พร้อม Bokeh Portrait
ในส่วนของกล้องหลังรุ่นนี้มาพร้อมกล้องหลังคู่ความละเอียด 12 (หน่วยรับภาพ 24 ล้านหน่วย) + 5 ล้านพิกเซล โดยตัวเลนส์หลักจะเป็นแบบ Dual-Pixel มีค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.8 ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี เลนส์รอง f/2.4 ใช้สำหรับจับระยะในโหมด Bokeh Portrait ครับ
มี AI Scene Recognition ช่วยแยกแยะซีนในการถ่ายภาพไม่ว่าเราจะเล็งไปที่คน อาหาร หรือดอกไม้ก็จะจัดแจงซีนที่เหมาะสมมาถ่ายควบคู่กันได้ ทำให้เราไม่ต้องมานั่งปรับโทนสีเพิ่มเติม ถ่ายด้วย AI ทีเดียวได้ภาพสวยจบมาเลยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto (with AI Scene) จะเห็นว่าภาพถ่ายที่ออกมาทำได้ดีมาก ทั้งภาพถ่ายวิวหรือตึกทั่วๆไปออกมาสวยและคมชัดดีทีเดียว จุดที่ชอบมากๆของกล้อง V11 ก็คือระบบโฟกัสที่รวดเร็วเพราะใช้ Dual-Pixel ทำให้เราสามารถแตะโฟกัสติดปุ๊บได้ในเวลาเพียง 0.03 วินาทีเท่านั้น เร็วกว่ากระพริบตาซะอีก ส่วนตัว AI Scene Recognition ที่เพิ่มเข้ามาในการถ่ายภาพวิวดูดีทีเดียว แต่พอมาถ่ายอาหารส่วนตัวกลับคิดว่าสีจัดจ้านเกินไปหน่อย แต่รวมๆถือว่าทำได้ดีแล้วครับ
มี AI HDR Backlight ด้วยนะ
ในส่วนของการถ่ายภาพย้อนแสง เรามักจะเจอปัญหาเรื่องความฟุ้งหรือแสงที่ไม่เท่ากัน ซึ่งตรงนี้ V11 ก็แก้ไขปัญหาได้ด้วยระบบ AI HDR Backlight ที่จะช่วยเก็บภาพด้วยหลายสภาพแสงมาประมวลผลแบบ HDR และปรับแต่งเพิ่มเติมด้วย AI เข้าไปอีกชั้น ทำให้ภาพที่ได้ออกมาสวยและมีมิติแม้จะย้อนแสงครับ :D
ตัวอย่างภาพถ่าย AI HDR Backlight
หรือจะเป็นภาพกลางคืนที่มักจะเจอปัญหาเช่นกัน อย่างการถ่ายภาพในที่แสงน้อยมากๆเราอาจจะเจอความมืดถ้ากล้องไม่ดี หรือถ้าสว่างบางทีก็สว่างจ้าเกินไปจนรายละเอียดบางอย่างหายไป แต่บน V11 ก็ใช้รูปแบบ HDR เข้ามาช่วยได้เช่นกันโดยตรงนี้ทาง ViVO ใช้ชื่อเรียกว่า AI HDR Low-Light ครับ
และในโหมด Bokeh Portrait เราสามารถกดเปิดใช้งานได้จากไอคอนรูปคนด้านบนได้เลยทันทีเราสามารถปรับค่ารูรับแสง (แบบจำลอง) ได้ที่ตรงนี้อยากได้เบลอมากหน่อยก็เลือก f/Stop น้อยๆได้เลย ตอนเล็งจะถ่ายก็โฟกัสไว้ให้แม่นก่อนเลยส่วนความเบลอเราไปปรับแก้ได้ทีหลังครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Portrait
AI Portrait Framing องค์ประกอบสวยไม่ต้องกลัวหลุดเฟรม
เห็นโหมด Bokeh Portrait ไปแล้ว หลายคนที่อาจจะไม่ถนัดการถ่ายคน กลัวภาพที่ออกมาจะไม่สวยทาง ViVO ก็มีตัวช่วยอย่าง Ai Portrait Framing เข้ามาช่วยด้วย โดยเมื่อเราเปิดโหมดนี้จะมีไอคอนวงกลมลอยๆขึ้นมา เราก็เพียงแค่เล็งกล้องยังไงก็ได้ให้หน้าของแบบไปอยู่หลังวงกลมนั้น เท่านี้ตัวกล้องก็จะถ่ายภาพให้อัตโนมัติ ได้องค์ประกอบภาพที่สวยไม่หลุดเฟรมแต่การโฟกัสของใบหน้ายังแม่นยำขึ้นไปอีกด้วยนะ
(เปิดฟีเจอร์นี้ได้ที่ Settings (ในแอปกล้อง) > Ai Portrait Framing ครับ)
แบตเตอรี่เยอะมีระบบชาร์จไว !
ปิดท้ายในเรื่องของแบตเตอรี่รุ่นนี้มาพร้อมกับความจุแบตฯ 3400 mAh เรียกว่าเยอะกำลังดีกับไซซ์หน้าจอหรือสเปคภายใน เท่าที่ลองใช้งานมาจริงๆก็ถือว่าทำได้ดีครับ แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน จะเล่นเกมบ้างถ่ายรูปหน่อยก็ไม่มีปัญหา
ส่วนในเรื่องระบบชาร์จรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบ Dual-Engine Fast Charge ระบบชาร์จไวที่ทาง ViVO พัฒนาขึ้นมาเอง หายห่วงเรื่องการรอนานเวลาชาร์จไปได้เลย รุ่นนี้ชาร์จไวสะใจแน่นอนครับ
สรุป !
สำหรับ ViVO V11 นี้ก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ให้คุณสมบัติมาครบใช้ได้เลย ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆของทาง ViVO เองระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอที่ดูไฮโซมากๆเวลาแตะใช้งาน หน้าจอแบบใหม่ Halo FullView Display ที่แสดงผลได้เต็มตากว่าเคย ดีไซน์สีสันแบบไล่เฉดสีใหม่สวยสะดุดตามากขึ้น สเปคภายในที่พร้อมใช้งานทั่วไปจนถึงเกมกราฟิกหนักๆ รวมถึงกล้องที่ทาง ViVO ก็มีจุดเด่นทั้งเซลฟี่และกล้องหลังคู่มาอยู่แล้ว รวมๆแล้ว ViVO V11 นี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการสมาร์ทโฟนสวยๆพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆในราคาหมื่นต้นๆจริงๆครับ :D
ราคาค่าตัวของ ViVO V11 อยู่ที่ 13,999 บาท
จุดเด่น
- หน้าจอ Super Amoled 6.41" แสดงผลได้ยอดเยี่ยม
- หน่วยประมวลผลเร็วแรง ตอบสนองการทำงานได้อย่างดี
- กล้องหน้า-หลังพร้อมระบบ AI ทำงานได้ดี
- หน่วยความจำภายใน 6GB + 128GB เยอะจุใจ เพิ่ม Micro-SD ได้อีก
- ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอไฮโซ
- ระบบสแกนใบหน้าทำงานรวดเร็ว
- รองรับ 2 ซิมและ Micro-SD ด้วยถาดแบบ 3 Slot
จุดสังเกต
- ไม่มีไฟ LED แจ้งเตือน
- พอร์ตการเชื่อมต่อยังเป็น Micro-USB
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite